เมฆสีเงิน
บทนำ
ปอย เด็กหญิงคนหนึ่ง อายุ 7 ขวบ เธอไม่รู้ว่าพ่อของเธอเป็นใคร
อยู่ที่ไหน เพราะเธออาศัยอยู่บ้านกับแม่มาตั้งแต่เล็ก ๆ ทำให้ชีวิตปอยดูเหมือนจะมีปมด้อย
เพราะถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ
ชีวิตของปอยจึงมีแม่ พ่อใหญ่ ยาย เป็นคนคอยดูแลเอาใจใส่เสมอมา ปอยถามแม่หลายครั้งว่า
ใครคือพ่อของเขาแต่ว่าแม่ของปอยก็ไม่ยอมบอกปอยสักครั้ง
ยิ่งทำให้ปอยอยากรู้และอยากเจอพ่อ ชีวิตปอยจะเป็นอย่างไรต่อไปเมื่อเจอกับครอบครัวของน้าสุเมธ ปอยอยากให้น้าสุเมธเป็นพ่อของเขา และสุดท้ายเครื่องราวจะเป็นอย่างไร ปอยจะได้เจอพ่อหรือไม่และพ่อของปอยนั้นเป็นใครกัน
ติดตามได้ในเรื่องย่อ
ประวัตินักเขียน
ประวัติย่อ
กนกวลี พจนปกรณ์
เป็นคนจังหวัดน่าน
จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต่อมาได้เริ่มเขียนนวนิยายในนิตยสารต่างๆ และเขียนมาจนถึงปัจจุบัน มีผลงานรวมเล่มกว่า 50 เล่ม เช่น
มหามายา เพลงเภตรา กาษานาคา
ซอย 3 สยามสแควร์ เพลงดอกฝัน จะเก็บรักไว้มิให้หลุดลอย รุ่นที่ 3 เริ่มต้น ชนปลาย วังวนกลกาล
คนละวัยหัวใจเดียวกัน
พ่อตัวจริงของแท้ ไฟต่างสี ทะเลเมฆ
ปลายรุ้ง ไม้เปลี่ยนดิน เส้นสีขาว
ร่มไม้ริมคลอง ร้อยรักพันชัง
รอยทราย ตะวันสีทอง สายใยรัก บัวบนสรวง
พ่อจอมกะล่อน เมฆสีเงิน ตกกะไดหัวใจพลอยโจน ผ้าขี้ริ้วห่อดิน ดอกฟ้ากับเทวดาเดินดิน บริษัทภรรยามหาชน อภิมหึมามหาเศรษฐี พุทธิพิมาน
ไฟกลางเมือง หนามยอกอก ฯลฯ
งานเขียนครั้งแรก
ผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรกชื่อ
“ทางไปสู่ดวงดาว” ลงในตีพิมพ์ในหนังสือ
สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ในปี พ.ศ. 2524
ผลงานรวมเล่ม
ผลงานนวนิยายที่ได้สร้างเป็นภาพยนตร์
คือ เปลวไฟในตะวัน
ผลงานนวนิยายที่สร้างเป็นละครโทรทัศน์ คือ
กาษานาคา อภิมหึมามหาเศรษฐี ตกกะไดหัวใจพลอยโจน ไฟต่างสี
ซอย 3 สยามสแควร์ เมฆสีเงิน
พ่อตัวจริงของแท้
คนละวัยหัวใจเดียวกัน
ผ้าขี้ริ้วห่อดิน
ดอกฟ้ากับเทวดาเดินดิน ฯลฯ
งานที่ได้รับรางวัล
ปี 2533 นวนิยายเยาวชนเรื่อง เมฆสีเงิน
ได้รับรางวัลชมเชยจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ประเภทนวนิยายสำหรับวัยรุ่น
ปี
2547 นวนิยายเรื่อง ซอย 3 สยามสแควร์
ได้รับรางวัลชมเชยในการประกวดหนังสือดีเด่น ประเภท นวนิยาย
ปี
2548 นวนิยายเรื่อง จะเก็บรักไว้มิให้หลุดลอย
ได้รับรางวัลชมเชยในการประกวดหนังสือดีเด่น ประเภท
นวนิยาย
ปี
2549 นวนิยายเรื่อง
กาษา นาคา ได้รับรางวัลชมเชยในการประกวดหนังสือดีเด่น ประเภท นวนิยาย
ปัจจุบัน
กนกวลี พจนปกรณ์
เขียนนวนิยายอยู่ในนิตยสารสกุลไทย
คือเรื่อง ยิ่งฟ้ามหานที และนิตยสารหญิงไทย คือเรื่อง
เช้าสายบ่ายเย็น
ประวัติการงาน
ผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรก “ทางไปสู่ดวงดาว” ได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ในปี 2523 หลังจากนั้นกนกวลีได้เขียนเรื่องสั้นแนวสะท้อนสังคมเรื่อยมา จนกระทั่งในปี 2526 จึงเริ่มเขียนนวนิยายและเขียนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยลงตีพิมพ์ตามนิตยสารต่าง ๆ ได้รับรางวัล จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ดังนี้
ผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรก “ทางไปสู่ดวงดาว” ได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ในปี 2523 หลังจากนั้นกนกวลีได้เขียนเรื่องสั้นแนวสะท้อนสังคมเรื่อยมา จนกระทั่งในปี 2526 จึงเริ่มเขียนนวนิยายและเขียนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยลงตีพิมพ์ตามนิตยสารต่าง ๆ ได้รับรางวัล จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ดังนี้
พ.ศ. 2532 นวนิยายเยาวชนเรื่อง
“เมฆสีเงิน” ได้รับรางวัลชมเชยจากคณะกรรมการพัฒนา
หนังสือแห่งชาติ ประเภทบันเทิงคดีสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่น อายุ ๑๒-๑๘ ปี
พ.ศ. 2547 นวนิยายเรื่อง
“ซอย ๓ สยามสแควร์” ได้รับรางวัลชมเชยในการประกวดหนังสือดีเด่น จากคณะกรรมการพัฒนา หนังสือแห่งชาติ
พ.ศ. 2548 นวนิยายเรื่อง
“จะเก็บรักไว้มิให้หลุดลอย” ได้รับรางวัลชมเชยในการประกวดหนังสือดีเด่น จากคณะกรรมการพัฒนา
หนังสือแห่งชาติ
พ.ศ. 2549 นวนิยายเรื่อง
“กาษานาคา” ได้รับรางวัลชมเชยในการประกวดหนังสือดีเด่นจากคณะกรรมการพัฒนา
หนังสือแห่งชาติ
ปัจจุบันกนกวลีเขียนนวนิยายอยู่ในนิตยสารสกุลไทยและหญิงไทย
ผลงาน
รวมเรื่องสั้น ๒ เล่ม ได้แก่ ทางไปสู่ดวงดาว, รักออกแบบได้
นวนิยายกว่า ๕๐ เล่ม เช่น กาษานาคา, ซอย 3 สยามสแควร์,
มหามายา, เพลงเภตรา,จะเก็บรักไว้มิให้หลุดลอย,
ไฟต่างสี, เพลงดอกฝัน, ร่มไม้ริมคลอง,ไม้เปลี่ยนดิน, ปลายรุ้ง, รุ่นที่
3, วังวน กลกาล, เริ่มต้นชนปลาย,
บัวบนสรวง, ทะเลเมฆ, รอยทราย,
คนละวัยหัวใจเดียวกัน, ไฟกลางเมือง, พุทธิพิมาน, กำแพงดอกไม้, เส้นสีขาว,
ตะวันสีทอง, ไฟพระจันทร์, ทางสายฝัน, หนามหยอกอก, พ่อตัวจริง...ของแท้,
อภิมหึมามหาเศรษฐี, บริษัทภรรยา (มหาชน),
ยิ่งฟ้ามหานที ฯลฯ
นวนิยายของกนกวลี ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายเรื่อง
เช่น กาษานาคา, ไฟต่างสี,
อภิมหึมามหาเศรษฐี, ตกกระไดหัวใจพลอยโจน,
เมฆสีเงิน, คนละวัยหัวใจเดียวกัน, เปลวไฟ ในตะวัน
การประกวดหนังสือดีเด่น
ความเป็นมาของการประกวดหนังสือดีเด่น
ในปี พ.ศ. 2515 องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือชื่อย่อว่า “ยูเนสโก” ได้ประกาศให้ปี พ.ศ. 2515 เป็น “ปีหนังสือสากล” หรือ “ปีหนังสือระหว่างชาติ” (International Book Year 1972) โดยเหตุผลที่ว่าหนังสือมีส่วนสำคัญในการสร้างความเจริญของสังคมและบุคคล ทั้งเป็นสื่อที่ก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างชนในชาติต่างๆ ยูเนสโกได้ขอความร่วมมือให้บรรดาประเทศสมาชิกร่วมฉลองปีหนังสือสากล 2515 ด้วยการจัดกิจกรรมอันเหมาะสม ประเทศไทยในฐานะสมาชิกขององค์การยูเนสโก โดยมีคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (Thailand National Commission for Unesco) เป็นผู้ดำเนินงาน ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อจัดงานปีหนังสือระหว่างชาติ 2515” ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน และมีกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนของหน่วยงานและสถาบัน ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหนังสือ มีโครงการดำเนินการทั้งหมด 19 โครงการ ในโครงการทั้ง 19 โครงการนี้ มีอยู่ 2 โครงการคือ “โครงการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ” และ “โครงการประกวดหนังสือดีเด่น” ทั้งสองโครงการนี้ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยโครงการประกวดหนังสือดีเด่น ซึ่งเริ่ม ในปี พ.ศ. 2515 เป็นโครงการที่สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยรับผิดชอบดำเนินการ และคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติได้รับช่วงดำเนินการต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 จนถึงปัจจุบัน โดยช่วงแรกคณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการ โครงการประกวดหนังสือดีเด่น เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อร่วมฉลองปีหนังสือสากลตามข้อเสนอแนะของยูเนสโก ข้อหนึ่งคือ “รัฐบาลและองค์กรอาชีพที่เกี่ยวข้องอาจร่วมกันจัดหารางวัลพิเศษ เช่น รางวัลทางวรรณกรรม รางวัลเรียงความของนักเรียน รางวัลการออกแสตมป์ รางวัลหนังสือราคาถูก” เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2515 องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือชื่อย่อว่า “ยูเนสโก” ได้ประกาศให้ปี พ.ศ. 2515 เป็น “ปีหนังสือสากล” หรือ “ปีหนังสือระหว่างชาติ” (International Book Year 1972) โดยเหตุผลที่ว่าหนังสือมีส่วนสำคัญในการสร้างความเจริญของสังคมและบุคคล ทั้งเป็นสื่อที่ก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างชนในชาติต่างๆ ยูเนสโกได้ขอความร่วมมือให้บรรดาประเทศสมาชิกร่วมฉลองปีหนังสือสากล 2515 ด้วยการจัดกิจกรรมอันเหมาะสม ประเทศไทยในฐานะสมาชิกขององค์การยูเนสโก โดยมีคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (Thailand National Commission for Unesco) เป็นผู้ดำเนินงาน ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อจัดงานปีหนังสือระหว่างชาติ 2515” ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน และมีกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนของหน่วยงานและสถาบัน ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหนังสือ มีโครงการดำเนินการทั้งหมด 19 โครงการ ในโครงการทั้ง 19 โครงการนี้ มีอยู่ 2 โครงการคือ “โครงการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ” และ “โครงการประกวดหนังสือดีเด่น” ทั้งสองโครงการนี้ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยโครงการประกวดหนังสือดีเด่น ซึ่งเริ่ม ในปี พ.ศ. 2515 เป็นโครงการที่สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยรับผิดชอบดำเนินการ และคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติได้รับช่วงดำเนินการต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 จนถึงปัจจุบัน โดยช่วงแรกคณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการ โครงการประกวดหนังสือดีเด่น เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อร่วมฉลองปีหนังสือสากลตามข้อเสนอแนะของยูเนสโก ข้อหนึ่งคือ “รัฐบาลและองค์กรอาชีพที่เกี่ยวข้องอาจร่วมกันจัดหารางวัลพิเศษ เช่น รางวัลทางวรรณกรรม รางวัลเรียงความของนักเรียน รางวัลการออกแสตมป์ รางวัลหนังสือราคาถูก” เป็นต้น
วัตถุประสงค์ของการประกวดหนังสือดีเด่น
วัตถุประสงค์ของการประกวดหนังสือดีเด่น คือ เพื่อส่งเสริมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหนังสือทั้ง 5 ฝ่าย คือ ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ผู้พิมพ์ ผู้จำหน่าย และบรรณารักษ์ผู้เผยแพร่หนังสือออกสู่ผู้อ่าน ให้ผลิตงานที่ประณีต มีคุณค่าและมีสารประโยชน์ต่อสังคมเพิ่มขึ้น รวมทั้งเพื่อสนับสนุนให้ผู้อ่านรู้จักเลือกหาหนังสือที่มีคุณค่าและสารประโยชน์เหมาะสมมาอ่าน อันจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
วัตถุประสงค์ของการประกวดหนังสือดีเด่น คือ เพื่อส่งเสริมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหนังสือทั้ง 5 ฝ่าย คือ ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ผู้พิมพ์ ผู้จำหน่าย และบรรณารักษ์ผู้เผยแพร่หนังสือออกสู่ผู้อ่าน ให้ผลิตงานที่ประณีต มีคุณค่าและมีสารประโยชน์ต่อสังคมเพิ่มขึ้น รวมทั้งเพื่อสนับสนุนให้ผู้อ่านรู้จักเลือกหาหนังสือที่มีคุณค่าและสารประโยชน์เหมาะสมมาอ่าน อันจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
หลักเกณฑ์ทั่วไปในการประกวดหนังสือดีเด่น ผู้มีสิทธิ์ส่งหนังสือเข้าประกวด ได้แก่ สำนักพิมพ์ ผู้ประพันธ์
ผู้จัดทำภาพประกอบ ผู้ออกแบบและจัดทำรูปเล่ม ผู้จัดพิมพ์ บรรณารักษ์ ส่วนราชการ
สมาคม และผู้สนใจทั่วไป
สุดท้ายคุณกนกวลีขอฝากถึงคนที่อยากก้าวเข้าสู่บรรณพิภพของวงการหนังสือว่า
“การเขียนหนังสือ กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้มันต้องอดทน แต่บางทีก็เกี่ยวกับโอกาสด้วย แต่หลัก ๆ ก็อยากให้เข้าใจว่าประการแรกมันขึ้นอยู่กับความสามารถ เราต้องมีความสามารถก่อน แล้วความพยายามก็มีส่วนสำคัญ ความมานะอดทนอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ งานเขียนมันไม่มีการบังคับ มันต้องมีใจชอบจริง บางครั้งส่งไปเข้ายังไม่พิมพ์ ยังไม่เอาลงสักที คิดว่าใครจะเป็นนักเขียนได้ ต้องมีความสามารถ มีความมานะอดทนขยัน และมีโอกาส เหล่านี้มันต้องรวมกัน อย่างตอนที่ออกจากงาน คือช่วงนั้นตัวเองเขียนเรื่องสั้น คือเรื่องสั้นมันนาน ๆ ได้ลงที มันก็ท้อแท้เหมือนกัน ท้อมาก ๆ เลย แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้ จำได้ไม่เคยลืมเลย คือ คำพูดของพี่เนาว์ - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ไม่รู้พี่เนาว์จะจำได้หรือเปล่า พี่เนาว์ยกกลอนวรรคเด็ดของพี่ท่านมาสอนเราในวันหนึ่ง ท่านบอกว่า “การเกิดมันต้องเจ็บปวดต้องร้าวรวดและทรมาน” พอฟังแล้วมันใช่เลย มันเหมือนทะลุแล้ว ตั้งแต่นั้นมากลอนพี่เนาว์วรรคนี้เป็นคาถาประจำใจทำให้อดทน
“การเขียนหนังสือ กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้มันต้องอดทน แต่บางทีก็เกี่ยวกับโอกาสด้วย แต่หลัก ๆ ก็อยากให้เข้าใจว่าประการแรกมันขึ้นอยู่กับความสามารถ เราต้องมีความสามารถก่อน แล้วความพยายามก็มีส่วนสำคัญ ความมานะอดทนอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ งานเขียนมันไม่มีการบังคับ มันต้องมีใจชอบจริง บางครั้งส่งไปเข้ายังไม่พิมพ์ ยังไม่เอาลงสักที คิดว่าใครจะเป็นนักเขียนได้ ต้องมีความสามารถ มีความมานะอดทนขยัน และมีโอกาส เหล่านี้มันต้องรวมกัน อย่างตอนที่ออกจากงาน คือช่วงนั้นตัวเองเขียนเรื่องสั้น คือเรื่องสั้นมันนาน ๆ ได้ลงที มันก็ท้อแท้เหมือนกัน ท้อมาก ๆ เลย แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้ จำได้ไม่เคยลืมเลย คือ คำพูดของพี่เนาว์ - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ไม่รู้พี่เนาว์จะจำได้หรือเปล่า พี่เนาว์ยกกลอนวรรคเด็ดของพี่ท่านมาสอนเราในวันหนึ่ง ท่านบอกว่า “การเกิดมันต้องเจ็บปวดต้องร้าวรวดและทรมาน” พอฟังแล้วมันใช่เลย มันเหมือนทะลุแล้ว ตั้งแต่นั้นมากลอนพี่เนาว์วรรคนี้เป็นคาถาประจำใจทำให้อดทน
เรื่องย่อ
ปอยกับปู
เด็กชายและเด็กหญิง อายุ 7 ขวบ
ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก
เพราะเป็นเพื่อนบ้านกัน
วันหนึ่งขณะที่ทั้งสองกำลังเล่นของเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านของปอย ปูก็ได้ชวนปอยแอบไปเล่นน้ำหลังบ้านแต่ปอยปฏิเสธ เพราะแม่สั่งว่าไม่ให้ไปและกลัวพ่อใหญ่จะดุ ทำให้ปูไม่พอใจและล้อปอยว่า “ถามจริงเถอะปอย ทำไมแกเรียกพ่อแกว่า พ่อใหญ่
พ่อจริงๆ แกไปไหน” แล้วปอยก็ตอบไปว่า “ก็พ่อใหญ่นั้นไง” ปูจึงพูดต่อไปว่า “พ่อใหญ่ เป็นพ่อของแม่แกนะปอย
พ่อจริง ๆ แกไปไหน” แล้วเด็กชายพูดว่าปอยเป็นลูก ไม่มีพ่อ
และยังแลบลิ้นปลิ้นตาหลอก
เพราะเด็กชายปูไม่พอใจที่ปอยไม่ยอมไปเล่นน้ำด้วย จึงมาล้อเรื่องพ่อของปอย
ปอยจึงขึ้นบ้านไป เช้าวันใหม่เปิดเรียน วันจันทร์ ปอยได้เดินไปโรงเรียนคนเดียว เพราะทะเลาะกับปูเมื่อไปถึงโรงเรียน ก็ได้ยินเสียงเพื่อนในห้องล้อว่า “ลูกไม่มีพ่อมาแล้ว ลูกไม่มีพ่อมาแล้ว” ทำให้ปอยโมโห และร้องไห้ไปนั่งในห้อง พอดีมีครูเดินผ่านมาถามปอยว่า “ร้องไห้ทำไม”
ปอยก็ไม่ฟ้องครูเรื่องที่โดนเพื่อนล้อ เพราะฟ้องยังไงเพื่อนก็ล้ออีกอยู่ดี
พอปอยเลิกเรียนกลับบ้านมาหาแม่ เขาจึงตัดสินใจถามแม่ว่า “แม่ ปอยมีพ่อไหม”
ทำให้แม่ของปอยเงียบไป และตอบกับปอยว่า “มีสิทุกคนต้องมีพ่อ”
ปอยเล่าเรื่องที่ปูและเพื่อนที่โรงเรียนล้อเขาให้แม่ฟัง แม่ของปอยจึงกอดปอย แล้วบอกว่า “ไม่ต้องไปสนใจ
เพราะปอยมีแม่ที่รักปอย มีพ่อใหญ่ และมียาย” แม่บอกว่าทุกคนรักปอย จึงทำให้เด็กหญิงสบายใจขึ้นมา
พอถึงวันปิดเทอมใหญ่ ปูมาพูดกับปอย
แต่ปอยยังโกรธที่วันนั้นล้อเรื่องพ่อ
พอปอยวิ่งกลับถึงบ้านแม่พูดกับเขาว่า “พรุ่งนี้น้าสุเมธจะมาหานะปอย”
แม่บอกว่าน้าสุเมธเป็นน้องชายของแม่จะพาครอบครัวมาเยี่ยมบ้าน และปอยก็จะมีเพื่อนเล่นด้วย คือ
นภา เด็กหญิงอายุ 10 ขวบ ลูกของน้าสุเมธกับน้าแก้วตา ปอยดีใจที่จะมีเพื่อนเล่นใหม่
พอเช้าตรู่ ครอบครัวของน้าสุเมธก็มาถึง
ปอยยืนดูตะลึงเพราะเห็นนภาแต่งตัวสวยแม่เขาจึงสะกิดให้ไหว้น้าสุเมธกับน้าแก้วตา แต่น้าแก้วตากับเมินเฉย พอทุกคนเก็บข้าวของเสร็จ ปอยก็เดินไปหานภาแล้วบอกว่า กิ๊บปักผมของนภาสวย
นภาจึงบอกว่าอยากได้ไหม
จากนั้นนภาก็หยิบกิ๊บรูปตุ๊กตาหมีให้ปอย
ปอยพยักหน้ายิ้มกว้าง สักพักปอยจึงชวนนภาออกไปเล่นข้างนอก
นภาตื่นเต้นเพราะ
เมื่อเดินไปจึงชวนปูมาเล่นด้วย
ปอยแนะนำปูให้นภารู้จัก
แล้วทั้งสามคนจึงไปเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
สุเมธยืนมองเห็นปอยกับนภาเล่นด้วยกันก็มีความสุข ปอยชวนนภาไปเล่นทุกวัน
แต่น้าแก้วตากลับไม่ค่อยชอบให้นภาไปเล่นกับปอยแถมยังด่าว่านภาโง่ ซึ่งทำให้ปอยไม่เข้าใจว่าทำไม แก้วตาจึงไม่ค่อยชอบเขาผ่านไปหลายวัน ทำให้นภาสนิทกับปอยขึ้น นภาไม่อยากกลับบ้านแต่โดนแม่ดุอย่างหนัก ทำให้นภาเสียใจมาก สุเมธจึงเข้าไปพูดว่าทำไมต้องว่าลูกขนาดนี้
ทั้งสองถกเถียงกันเป็นเวลานานนภาจึงเดินออกมาหาปอย แต่ไม่พบจึงเดินไปเรื่อย ๆ
นภาเหนื่อยจึงนอนซบกับท่อสูบน้ำ พอลืมตาขึ้นก็เห็นปอย
ปอยปลุกนภาไปเล่นที่สระน้ำทั้งสองคุยกันใช้เท้ากระทุ่มน้ำด้วยกันอย่างสนุกสนาน ไม่นานแก้วตาก็มาเรียกนภา เธอยืนทะมึนอยู่บนตลิ่งสายตาจ้องมองปอยด้วยสีหน้าที่โมโหและเกลียดชัง นภาจึงเดินตามแม่ไป
วันนี้นภาจะกลับบ้านปอยตื่นแต่เช้าเดินเข้ามาหาแม่ จึงพูดว่านภายังไม่ตื่นเลย พอครู่ใหญ่ ๆ ทั้งสามคนก็เก็บของเตรียมตัวจะกลับกรุงเทพ พอฟ้าสว่าง
ทั้งสามคนจึงกลับ นภาพูดว่า
“พี่ไปนะปอย” ปอยจึงตอบไปว่า “เดินทางด้วยความปลอดภัยนะ”
จากนั้นน้าสุเมธก็หยิบเงินให้ปอยสองร้อย
ส่วนแก้วตาถึงปอยจะไหว้แต่เขาก็เชิดใส่
พอกลับไปหมดปอยก็เหงาเพราะไม่มีเพื่อนอย่างนภาเล่นด้วยปอยรู้สึกเหงา คิดถึงนภา
ถึงแม้ปูจะมาชวนไปเล่นที่ทุ่งนาก็ไม่ยอมเพราะปอยอยากพานภาไปเล่น นภาบอกว่าไม่เคยเห็นทุ่งนา แต่แล้วก็ต้องเดินตามหลับปู่ไป ปอยบ่นกับปู่ว่าน้าสุเมธกับน้าแก้วตา ไม่น่าให้นภากลับไปเร็วเลย กว่าโรงเรียนเปิดก็อีกตั้งนาน และปอยก็ยังคิดถึงอ้อมกอดที่น้าสุเมธกอด เพราะมันทำให้เขาคิดถึงพ่อ ปอยพูดว่าคิดถึงพ่อให้ปู่ฟัง ปู่ครุ่นคิดสักพักแล้วตอบปอยไปว่า แม่ของปอยคงมีรูปที่ถ่ายคู่กับพ่ออยู่
ปอยนึกได้แต่ก็บอกปู่ว่าแต่แม่ก็ถ่ายกับผู้ชายหลายคนจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนคือพ่อของเขา
ปอยบอก แล้วปู่เลยบอกว่า ก็คนที่ถ่ายคู่กับแม่เยอะที่สุดไง จากนั้นปอยจึงได้ไปค้นหารูปเก่า ๆ
มาดูปอยเห็นแม่ถ่ายกับผู้ชายคนหนึ่ง
ปอยเอาไปให้แม่ดู
แต่แม่บอกว่าไม่ใช่พ่อของปอยเป็นเพื่อนของแม่เอง
แม่ของปอยบอกว่าวันหนึ่งแม่จะบอกปอยเอง
ถึงปอยจะพยายามถามแค่ไหนแต่แม่ก็เมินหน้าหนีไปทางอื่น จากนั้นแม่จึงบอกปอยไปอาบน้ำ ปอยมองเห็นหิ้งพระเขาจึงยกมืออธิษฐาน “ขอให้ปอยได้พบพ่อทีเถอะ พ่อปอยอยู่ที่ไหน ปอยอยากเจอ นานแค่ไหนปอยก็จะรอขอให้ปอยได้พบพ่อทีเถอะ”
วันเวลาผ่านไป โรงเรียนปิด
ปอยคิดว่านภาคงมาหาเธออีกแต่ก็เป็นแค่ความฝันแล้ววันหนึ่งน้าสุเมธก็มารับปอยไปอยู่ที่กรุงเทพฯด้วยกัน ปอยแปลกใจ
ในคืนนั้นปอยทั้งดีใจและลังเล
เพราะการไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯปอยจะต้องจากแม่ ยายและพ่อใหญ่ ถึงแม้ปอยจะบอกว่าปอยไม่อยากไป
แต่แม่ของปอยก็พูดว่าปอยจะได้เจอพี่นภาและที่กรุงเทพฯ คุณครูก็สอนดี
มีอุปกรณ์เยอะกว่าที่บ้านเรา
ปอยไม่มีเวลาอิดออดมากจึงยอมไปกับน้าสุเมธ
ปอยนั่งรถไปเธอคิดถึงแม่ ยายและพ่อใหญ่ และปูเพื่อนรักของเขา พอไปถึงปอยได้ไปอยู่กับน้าแก้วตาและนภาที่หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ปอยดีใจที่ได้เจอนภาอีกครั้ง ปอยได้นอนห้องเดียวกับนภา ปอยชอบห้องของนภามากเพราะทั้งสวยและเป็นระเบียบ มีรูปการ์ตูนติดอยู่ที่ผนังห้อง
หลายวันถัดมา
น้าแก้วตาพาปอยไปดูโรงเรียน ปอยยิ่งตื่นเต้น เพราะที่โรงเรียนใหม่สวยมากมีสวนดอกไม้
สนามหญ้า
และอาคารสีขาวที่ดูสะอาดตา
แถมยังมีสระว่ายน้ำใสอีกด้วย
นภาพาปอยไปเล่นที่สนามเด็กเล่น ซึ่งปอยชอบมาก น้าสุเมธพอใจที่เห็นปอยชอบ พอโรงเรียนเปิดน้าแก้วตาพาปอยไปซื้อชุดนักเรียนใหม่วันแรกของการเปิดเรียนน้าแก้วตาบอกว่าจะเป็นคนไปรับส่งปอยกับนภาเองทุกวัน พอปอยเรียนเสร็จนภาบอกให้ปอยไปรอแม่ของเขาที่หน้าโรงเรียน ปอยบอกจะตามไปเขามองเห็นสระน้ำใส ๆ จึงเดินไปรอบสระนึกถึงน้ำใส ๆ
หลังบ้าน และท่าน้ำที่พ่อใหญ่ทำไว้ ปอยจะกระโดนเล่น ปอยนับ
หนึ่ง...สอง...สาม
ว้าย....
กรี้ด...
เสียงผู้คนร้องกันลั่นบริเวณนั้น
ปอยไม่ได้สนใจและว่ายน้ำแบบที่เคยว่ายกับแม่ที่บ้าน ทันทีปอยรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจับตัวขึ้นขอบสระ
“ยายปอย ทำไมทำอย่างนี้” เสียงน้าแก้วตาดังขึ้น ปอยหันไปมอง
“ปอยเล่นน้ำค่ะ”
เธอบอกยิ้มเห็นฟันขาว
“ยายบ้า
ดูสิฉันอับอายขายหน้าหมด”
แก้วตากระซิบที่หูปอย
พร้อมยังจิกเล็บไปบนเนื้อปอยจนเจ็บ แล้วแก้วตาก็กระชากปอยกลับบ้าน และยังบ่นพึมพำว่าเป็นเด็กโง่ทำอะไรไม่รู้จักคิด บอกว่าสระนี้เขาให้ใส่ชุดอาบน้ำ “ปอยไม่รู้จ๊ะ” ปอยตอบเสียงแผ่ว “โง่ บ้านนอก เซ่อ” น้าแก้วตาคอแข็ง อับอาย
แล้วบอกให้ปอยเลิกพูดจ๊ะจ๋าให้พูด ค่ะขา
แก้วตาบ่นปอยตลอดทางจนถึงบ้าน
พอถึงบ้านน้าแก้วตาพูดเรื่องที่ทำขายหน้าให้สุเมธฟัง แต่สุเมธกลับหัวเราะชอบใจ ทำให้น้าแก้วตายิ่งโมโห และบอกว่า
“ฉันไม่ให้ลูกฉันไปยุ่งกับนังเด็กนั่นอีกแล้วนะ บ้านนอก โง่” สุเมธบอกให้แก้วตาหยุดพูด แต่แก้วตาไม่หยุดปอยจึงเดินเข้าห้องไป วันต่อมาแก้วตาก็ไม่พูดกับปอยเลยถ้าไม่จำเป็นทำให้ปอยรู้สึกเหงาคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน
ทุกเสาร์อาทิตย์นภาก็จะไปเรียนบัลเลย์กับเล่นดนตรี ทำให้ปอยยิ่งเหงามากขึ้น
สุเมธจึงเดินเข้ามาหาปอยถามว่าอยากเรียนเหมือนนภาไหม ปอยตอบทันว่า “อยาก” เพราะอย่างน้อยก็มีเพื่อนเล่นจะได้ไม่ต้องอยู่บ้านคนเดียว
สุเมธก็เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมากลางโต๊ะกินข้าว แก้วตาหน้าตึงขึ้นมาทันที ปรายตามองมาที่ปอยด้วยความเกลียดชัง แล้วบอกว่า
“ที่ยอมรับเลี้ยงให้อยู่ ทุกวันก็ดีแล้วยังจะให้มามีทุกอย่างเหมือนลูกเขาอีก” พูดจบแก้วตาก็เดินหนีเข้าห้อง น้าสุเมธตามเข้าไป ปอยมองหน้านภาไม่เข้าใจคำพูดของน้าแก้วตา จากนั้นนภาก็เดินเข้าไปที่โต๊ะเหลือแค่ปอยคนเดียว ปอยกินข้าวไม่ลงน้ำตาจะไหล ปอยรู้สึกคิดถึงแม่ขึ้นมา ปอยไม่กล้าแม้แต่จะให้น้ำตาไหลออกมา
เช้านี้ปอยตื่นเช้าตามปกติ น้าแก้วตาเร่งบอกว่าวันนี้รีบ ปอยพึ่งกินข้าวได้คำเดียวก็ต้องอิ่มบอกว่าไม่หิว แก้วตากลับบอกว่าทีหลังถ้าไม่หิวก็บอก จะได้ไม่ต้องให้คนใช้เขาตักมาให้เสียดายของ ปอยได้แต่ก้มหน้า
คิดถึงแม่เพราะแม่ไม่เคยว่าเขาแบบนี้สักครั้งเดียวปอยรู้สึกปวดหัวทันที
พอไปถึงโรงเรียนปอยอยากบอกแก้วตาว่าเขาไม่สบาย
แต่ก็ไม่กล้าปอยตัวร้อนมากครูจึงให้ทานยาแก้ไข้จึงหายปวดบ้าง พอเลิกเรียนปอยร้องไห้ นภาถามว่าเป็นอะไรปอยก็บอกว่าปวดหัว นภาจึงบอกแก้วตา
แก้วตาจึงบอกให้คนใช้หายามาให้ปอยกิน
แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นปอยหมดแรงเจ็บไปทั้งตัว จากนั้นแก้วตามาถามปอยว่า “ยังไม่หายอีกหรือ” “ยังค่ะ ปอยตัวร้อนด้วย”
แก้วตาเอาหลงมือมาแตะหน้าผากและหัวเราะบอกว่า “ร้อนนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย”
เช้าวันรุ่งขึ้นปอยไม่ไปโรงเรียนสุเมธถามว่าปอยเป็นอะไร แก้วตากลับบอกว่าไม่เป็นอะไรมากเป็นไข้นิดหน่อยกินยาเดี๋ยวก็หาย ปอยอาการหนักกว่าเดิม
ตัวเย็นไปหมดสุเมธจึงบอกว่าจะพาเธอไปโรงพยาบาลพร้อมกับอุ้มขึ้นรถไป
สุเมธหน้าซีดขณะนั้นปอยรู้สึกคิดถึงแม่สุดขีดร้องหาแม่ตลอดทาง สุเมธจึงบอกว่าจะพาแม่มาหาปอย สุเมธน้ำตาคลอ
“โธ่ ปอยลูกพ่อ พ่อเสียใจปอย
พ่อเสียใจ พ่อทำผิด อีกแล้ว ยกโทษให้พ่อนะลูก”
พอปอยลืมตาขึ้นเห็นขวดน้ำเกลือและขวดเลือดห้อยระโยงระยางไปหมด และได้ยินเสียงแม่ ปอยค่อย ๆ ลืมตามองเห็นแม่ เขาดีใจมาก
ปอยเรียกแม่สุดเสียง แต่เสียงที่เล็ดลองออกมาแค่เพียงแผ่ว
ๆ หมอบอกว่าปอยเป็นไข้เลือดออก
ถ้ามาช้ากว่านี้อาจถึงแก่ชีวิตได้แม่ของปอยปลอบปอย “โอ๋
คนดีของแม่ เจ็บมากไหมลูก แม่มาหาลูกแล้วนะ” ปอยอมยิ้ม
ปอยบอกว่าอยากกลับไปอยู่กับแม่ที่บ้าน
จากนั้นสุเมธเดินเข้ามาแล้วบอกกับปอยว่าหมอให้กลับบ้านได้แล้ว แต่ปอยขอกลับบ้านไม่อยู่ที่นั่น จะไปเรียนที่บ้าน “ทำไมล่ะลูก”
สุเมธพูด แม่บอกปอยว่า “ทำไมไม่อยู่กับพ่อล่ะเห็นปอยอยากเจอพ่อ ตอนนี้ก็เจอแล้วน่าจะอยู่กับพ่อ” ปอยงง
น้าสุเมธจึงบอกว่าเขาคือพ่อของเธอ
แม่ก็บอกว่าสุเมธเป็นพ่อของปอยจริง ๆ และยังบอกว่า “แม่ไม่ใช่แม่ของปอยหรอก แม่เป็นป้าเหมือนกับที่เป็นป้าของนภา” ปอยพูดว่าแก้วตาเป็นแม่ของเธอหรือ น้าสุเมธจึงบอกว่า “แม่ของปอยตายไปแล้ว ตอนที่คลอดปอย
พ่อเอาไปให้ป้าเลี้ยงเพราะกลัวว่าน้าแก้วตาจะโกรธที่แอบไปมีแม่ของปอย พ่อขอโทษนะลูกที่ปิดบังเรื่องนี้ พ่อคิดว่าวันหนึ่งจะบอกลูกพ่อถึงมารับไปเรียนหนังสือที่นี่ไง”
ปอยนึกถึงคำพูดถากถางของแก้วตา จึงนึกขึ้นได้ว่าเป็นเพราะเหตุนั้นเอง ถึงเขาจะอยากเจอพ่อ แต่เขาก็คิดถึงบ้าน ปอยจึงตัดสินใจกลับบ้านกับบ้าน ปอยบอกว่าเขาดีใจที่มีพ่อ
ต่อไปคงไม่มีใครมาล้ออีกแล้วว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ
ปอยทั้งร้องไห้บอกว่าจะอยู่กับแม่และปอยก็บอกว่ารักพ่อด้วย แต่อยู่ที่นี่ปอยไม่สนุก เหงาและบอกพ่อว่าขอให้เขาอยู่กับแม่ สุเมธเข้าใจความรู้สึกของปอย จึงยอมให้ปอยกลับบ้านไปอยู่บ้านกับพี่สาว เด็กหญิงกอดแม่แน่นและก็กอดพ่อ เขารู้สึกถึงความอบอุ่นของอ้อมกอดพ่อ ที่อยากได้มานาน
สรุป
ทุกคนเกิดมารมีครอบครัวที่ต่างกัน บางคนขาดพ่อ
บางคนขาดแม่
บางคนต้องอยู่คนเดียวไม่มีทั้งพ่อและแม่
ดังเช่นเรื่องของปอย
เด็กหญิงคนหนึ่งที่ขาดแม่และพ่อ
แต่เขาก็เติบโตมาด้วยความรักและเอาใจใส่ของคนในครอบครัวนั้น แม้สุดท้ายจะรู้ว่าพ่อของเขาเป็นใคร แต่ก็ไม่สามารถอยู่ด้วยได้เพราะพ่อก็มีครอบครัวของพ่ออีก
อีกทั้งแม่เลี้ยงของปอยก็เกลียดปอยที่เกิดมาจากผู้หญิงซึ่งเป็นแม่แท้ ๆ
ของปอย นั่นก็แสดงว่าพ่อของปอยมีภรรยาสองคน และถ้าพ่อมาอยู่กับแม่แท้ ๆ ของปอย น้าแก้วตาคนนั้นกับนภาจะเป็นอย่างไร ทุกครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งย่อมมีปมด้อย ซึ่งเป็นปัญหาสังคมขึ้นทุกวัน
แต่ว่าทุกคนเกิดมาด้วยความรักของพ่อกับแม่ทั้งนั้นแม้วันนี้พ่อหรือแม่ไม่สามารถอยู่กับเราได้ แต่คนอื่นรอบข้างเรายังมีคนที่รักและหวังดีกับเราอยู่
ดังนั้นเราต้องอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้ด้วยความเข้มแข็ง เพราะถ้าเราอ่อนแออยู่ตลอดเวลา เราจะไปอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้
โลกนี้ยังมีความรักที่ยิ่งใหญ่ให้เราค้นหาและพบเจอพ่อกับแม่ท่านจะอยู่ในใจเราเสมอ ถึงท่านจะไม่ได้อยู่กับเราแต่ความรักของท่านก็ไม่เคยจางหายและลบเลือน
สุดยอดมากเลยครับ วันหน้ามาพิมพ์งานให้ผมบ้างนะครับ ^^
ตอบลบได้ครับ ถ้าผมว่าง ส่งไฟล์มาได้นะ
ลบขอบบคุณมากครับทำดีมากๆเรยครับ
ตอบลบยินดีครับผม
ลบ